Skip to content

“ความรู้สึกตัว”
โดยพระพงษ์พันธ์ ฉันทกโร

“ความรู้สึกตัว” เป็นมรรควิธีของนักปฏิบัติทั้งหลาย เพื่อให้ถึงพร้อมซึ่งสติปัฏฐานสี่ อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ “ความพ้นทุกข์”

โดยปกติคนเราเมื่อลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า สิ่งแรกที่เราทำคือ ‘คิด’ เราจะหลงอยู่ในความคิดและอารมณ์ต่างๆ ตลอดทั้งวัน ขาด ‘ความรู้สึกตัว’ อย่างแท้จริง โดยเบื้องต้นของการฝึกคือ การฝึกรู้กาย หรือ ‘กายคตาสติ’ เป็นการฝึกเพื่อเข้าถึง ‘รูปกาย’ ความเป็นธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอิริยาบถต่างๆ ของกาย ไม่ว่าจะเป็นนั่ง ยืน เดิน นอน ซึ่งเป็นอิริยาบถหลัก รวมถึงอิริยาบถย่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม คอยเห็นสภาวะ อาการของกายอยู่เสมอ

ให้ผู้ปฏิบัติตั้งใจว่าหน้าที่ของเราคือการตามรู้กายให้มาก สติอยู่ที่กายเท่านั้น (กายานุปัสสนา) หรือเมื่อเคลื่อนไหวก็วางจิตอยู่กับทุกอิริยาบถ รู้สึกตัวขณะยืน เดิน นั่ง นอน หยิบของ ยกช้อนกินข้าว ฯลฯ ทุกอิริยาบถมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนอุณหภูมิร่างกาย การเต้นของหัวใจ การสูบฉีดเลือด กล้ามเนื้อมัดต่างๆ การกระพริบตา ฯลฯ รวมถึงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก วางจิตอยู่กับลม เรียกว่า ‘อานาปนาสติ’ ซึ่งปกติในชีวิตประจำวันเราทำไปโดยอัตโนมัติ ไม่เคยรู้สึกตัวจริงๆ เลย

ต่อมาก็ค่อยๆ สังเกตถึงเวทนาต่างๆ ซึ่งหมายถึงการเสวยอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางกายและใจ  การเข้าสู่การตามรู้เวทนา (เวทนานุปัสสนา) สามารถเกิดได้ในทุกอิริยาบถเช่นกัน ขณะหายใจสั้นยาว รู้สึกอึดอัดหรือสบาย เมื่อยืนนานๆ รู้สึกปวดขา พอได้นั่งก็ผ่อนคลาย แต่นานๆ เข้าก็เหน็บชาอีก พอลุกขึ้นเดินกล้ามเนื้อยืดออก แต่เดินนานหน่อยเจ็บขาเจ็บเท้า ฯลฯ เหล่านี้เป็นเวทนาทางกาย หลักอยู่ที่การคอยสังเกตว่าทั้งหมดนี้คือทุกข์และสุข ซึ่งมีลักษณะเป็นอนิจจัง มีเกิดดับตลอดเวลา

สิ่งหนึ่งที่จะต้องคอยพิจารณาอยู่เนืองๆ คือ การสังเกตอายตนะภายนอกและภายใน ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่กระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะที่เกิดขึ้นเหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดการปรุงแต่ง เป็นจิตตสังขาร ควรหมั่นฝึกฝนพิจารณาจิต เช่น เมื่อมีความสบาย จิตจะเกิดความพอใจ เวลาได้รับฟังคำพูดดีๆ เกี่ยวกับตัวเรา จิตจะปรุงแต่ง คิดอยู่แต่เรื่องราวนั้นๆ เป็นเวลานาน หรือถ้ามีปัญหาแก้ไม่ตก จิตก็จะเกิดความกระวนกระวาย ดิ้นรนกระสับกระส่าย กังวลใจ การเฝ้าพิจารณาปรุงแต่งอารมณ์ไปเรื่อยๆ เป็นเวทนาทางจิต ซึ่งในความจริง อารมณ์นั้นได้ดับไปแล้ว แต่เราไม่ยอมให้ดับ หยิบมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาอีก ไม่เท่าทันความจริงที่ว่าสภาวะแต่ละอย่างแต่ละชนิด มีขึ้นและหายไป เกิดและดับ เป็นอนิจจัง มีอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

นักปฏิบัติจึงควรกำหนดรู้อาการของจิต ดังเช่น จิตมีความโลภ โกรธ  หลง ยินดี พอใจ คับแค้นใจ หดหู่ เศร้าหมอง ไม่ยินดียินร้าย ฯลฯ  หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายจะรู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (จิตตานุปัสสนา) เมื่อหมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง นักปฏิบัติจะค่อยๆ เห็นถึงความเกิดดับของอารมณ์ในปัจจุบันขณะ และค่อยๆ เกิดปัญญา สามารถตั้งสติกำหนดรู้ธรรมทั้งมวล (ธรรมานุปัสสนา) เช่น อริยสัจ ๔ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕  โพชฌงค์ ๗ เป็นต้น

การฝึกสติปัฏฐานสี่นั้นไม่ได้กำหนดว่า จะต้องเป็นไปตามลำดับ โดยเริ่มต้นจากกายานุปัสสนา อันเป็น ฐานที่ ๑ ก่อน อาจเกิดจากฐานที่เป็น นาม คือ เวทนา จิต หรือ ธรรม ฐานใดฐานหนึ่งก็ได้ เพราะธรรมชาติของจิตบังคับไม่ได้ นักปฏิบัติเพียงแต่คอยตามรู้ธรรมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นเท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือ สิ่งไหนเกิดให้ดูสิ่งนั้น

แรกฝึกอาจจะไม่เข้าใจว่าฝึกสิ่งเหล่านี้ไปทำไม แต่เมื่อฝึกอย่างสม่ำเสมอจะสามารถรับรู้ด้วยปัญญาว่าไม่ว่าสภาวะใด อารมณ์ใด ล้วนเข้ากฎของไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไปตามธรรมชาติ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่น หากฝึกจนชำนาญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตัวตนอันประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ ก็จะหายไป ไม่มีอะไรเป็นเรา ไม่มีอะไรเป็นของๆ เรา จิตไม่ติดยึดกับรูปนามขันธ์ ๕ เมื่อเพียรปฏิบัติให้มาก เจริญให้มาก ในที่สุดวิชชาวิมุตติจะปรากฏ เกิดความจางคลายปล่อยวางในทุกสิ่ง หลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวงได้